สาเหตุของมะเร็งคืออะไร? แม้ว่าเราจะไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำให้เกิดโรคนี้ได้ แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือมีผู้คนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา) ประมาณไว้ว่า 39.6 เปอร์เซ็นต์ของชายและหญิงจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งในช่วงชีวิตของพวกเขา[i] การวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าพันธุกรรมมีเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของมะเร็งทั้งหมด ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมและปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมก็มีส่วน มะเร็งได้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่การรู้จักกับความเสี่ยงของคุณจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยที่จะเกิดโรคร้ายแรงนี้ได้

โรคอ้วน อาหารที่ไม่ดี ความไม่สมดุลของฮอร์โมน และ การอักเสบเรื้อรังเป็นสาเหตุของมะเร็งที่รู้จักกันดี แต่ต้นเหตุของมะเร็งบางส่วนอาจไม่เด่นชัดนัก เกิดอะไรขึ้นถ้าผมจะบอกคุณว่า การสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ในชีวิตประจำวันและอุปนิสัยที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้ ต่อไปนี้เป็นบางส่วนที่น่าแปลกใจมากที่เชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็ง
1. ที่คุณอาศัยอยู่ การวิจัยในปี พ. ศ. 2560 ในวารสาร Cancer พบว่า ในสหรัฐอเมริกา ในพื้นที่ที่ด้อยคุณภาพของอากาศ น้ำ ผืนดิน และสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งปลูกสร้าง และปัจจัยทางสังคม ร่วมกันก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้มากขึ้น คุณภาพอากาศแย่และสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งปลูกสร้าง (ทางหลวงที่สำคัญ ความพร้อมของขนส่งสาธารณะ และที่อยู่อาศัย) มีความสัมพันธ์อย่างมากกับอัตราการเกิดโรคมะเร็งที่สูง การค้นพบนี้มีผลต่อทั้งชายและหญิง โดยที่มะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านมเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่แย่[ii] งานวิจัยอื่น ๆ บอกเราว่าชุมชนที่ไม่เจริญนักก็มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งเนื่องจากมลพิษทางอากาศ
2. เทียนหอมและน้ำหอมปรับอากาศ นักวิจัยได้วัดระดับสารอินทรีย์ระเหย (Volatile Organic Chemicals – VOC) ในบ้าน 6 หลังในเมืองยอร์ก ประเทศอังกฤษในช่วงห้าวัน พวกเขาขอให้ผู้อยู่อาศัยแต่ละรายจดรายละเอียดเทียนหอม น้ำหอมปรับอากาศ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่พวกเขาใช้ รวมถึงพวกเขาใช้บ่อยแค่ไหน หลังจากนั้น นักวิจัยก้ได้ทดสอบอากาศในแต่ละบ้าน ลิมโมนีน (Limonene) ซึ่งเป็นสารเคมีสังเคราะห์ที่ใช้ในการสร้างกลิ่นส้มกลายเป็นตัวร้ายหมายเลขหนึ่งที่ตรวจพบ ไม่แปลกใจเลยว่าบ้าน ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอมมากที่สุดได้มีการตรวจพบลิมโมนีนปริมาณมากที่สุด จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมก่อนที่จะพิจารณาข้อสรุปนี้ แต่เมื่อลิมโมนีนถูกปล่อยออกสู่อากาศ มันจะมีปฏิกิริยากับกับโอโซนกลายเป็นฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งโพรงจมูก[iii] อันตรายจากสารสังเคราะห์มีมากนอกเหนือจากการเกิดโรคมะเร็ง น้ำหอมปลอมเชื่อมโยงกับฮอร์โมนแปรปรวน โรคหอบหืด และปัญหาสุขภาพที่รุนแรงอื่น ๆ
วิธีหลีกเลี่ยง: โดยการลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการเติมกลิ่น คุณสามารถลดปริมาณของลิมโมนีน (และฟอร์มาลดีไฮด์) ได้[iv] ลิมโมนีนไม่ใช่ส่วนประกอบเพียงอย่างเดียวที่ต้องกังวล พยายามหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่บอกว่ามี Fragrance Parfum Phthalates DEP DBP หรือ DEHP เป็นส่วนผสม ตามที่กองทุนมะเร็งเต้านม (USA) แนะนำ หลีกเลี่ยงกลิ่นสังเคราะห์เป็นหนึ่งในวิธีหลักที่จะช่วยตัวเอง[v]
3. Happy Hour ในปี 2016 นักวิจัยชาวเดนมาร์กได้เผยแพร่ผลการศึกษาที่เชื่อมโยงการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมที่เพิ่มขึ้น นักวิจัยพบว่าผู้หญิงที่ดื่มปริมาณแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นในระยะเวลาห้าปีต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการเกิดมะเร็งเต้านม แต่ว่า การศึกษาเดียวกันก็พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจในผู้หญิงต่ำลง[vi] แต่ก็โชคดีที่มีทางเลือกที่ดีกว่าในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ รวมถึงการออกกำลังกายทุกวัน การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารเพื่อสุขภาพและการจัดการความเครียด
นอกจากมะเร็งเต้านมแล้ว นักวิจัยยังได้เชื่อมโยงแอลกอฮอล์กับมะเร็งที่ศีรษะและลำคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ และมะเร็งลำไส้ใหญ่[vii] ทำไมแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดผลเสียเหล่านี้ ร่างกายของเราจะเผาผลาญเอทานอลในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็น Acetaldehyde ซึ่งสามารถทำลายดีเอ็นเอและโปรตีนในร่างกายได้ แอลกอฮอล์ยังสามารถกระตุ้นการเกิดออกซิเดชั่นในร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อเนื่องกับดีเอ็นเอ โปรตีน และไขมัน การดูดซึมสารอาหารบกพร่องและระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นก็อาจเป็นสาเหตุได้[viii]
4. ขี้เลื่อย อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่คุณอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน องค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ได้จำแนกขี้เลื่อยเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์เช่นกัน การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าคนงานเฟอร์นิเจอร์และคนงานอื่น ๆ ที่สัมผัสฝุ่นจากไม้มีแนวโน้มที่จะพัฒนาโรคมะเร็งทางจมูกที่เรียกว่า Adenocarcinoma ฝุ่นไม้เนื้อแข็งรวมทั้งบีชและโอ๊กทำให้เกิดความเสี่ยงสูงสุด คุณสามารถควบคุมการสัมผัสกับฝุ่นไม้ผ่านระบบระบายอากาศที่ออกแบบมาอย่างดีและ/หรือระบบป้องกันทางเดินหายใจ ผู้ที่ทำงานหรืออยู่ใกล้พื้นที่ควรใส่หน้ากากช่วยหายใจหรือหน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่นจากไม้[ix]
5. บรรจุภัณฑ์อาหาร เรามักจะได้ยินว่าการเลือกบริโภคอาหารของเรามีผลต่อความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง แต่บรรจุภัณฑ์ก็อาจมีบทบาทเช่นกัน อาหารและบรรจุภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป เช่น หีบห่อและกล่องบรรจุมักมีสารเคมีชื่อ Perfluorinated เป็นส่วนประกอบ คนมักรู้จักกันในนาม PFCs และ PFASs ซึ่งเป็นวัสดุบุผิวที่สามารถกันน้ำมันและสิ่งเปรอะเปื้อนได้และสามารถปนเปื้อนมาในอาหารได้ง่าย สารเคมีเหล่านี้เชื่อมโยงกับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่มะเร็งและการพัฒนาไปจนถึงปัญหาเรื่องระบบสืบพันธุ์ การทำงานของระบบภูมิคุ้มบกพร่องและผลกระทบด้านสุขภาพอื่น ๆ[x]
วิธีหลีกเลี่ยง: เมื่อรับประทานอาหารนอกบ้าน อาจเป็นเรื่องยากมากที่จะหลีกเลี่ยงสารเคมี Perfluorinated แต่คุณสามารถรับประทานอาหารสดที่บ้านได้ หลีกเลี่ยงจานกระดาษและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารอื่น ๆ ซึ่งมักเคลือบด้วยสารเคมีป้องกันน้ำมันประเภทเดียวกัน (ถุงข้าวโพดคั่วไมโครเวฟมีส่วนผสมนี้มากที่สุด ดังนั้นเลือกทำข้าวโพดคั่วแบบโบราณดีกว่า)
6. ครีมกันแดดบางยี่ห้อ ในขณะที่การได้รับแสงแดดมากเกินไปอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง การใช้สารกันแดดชนิดที่ไม่ถูกต้องมากเกินไปก็มีความเสี่ยงเช่นกัน Benzophenone-3 (หรือ Oxybenzone) ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ใช้กันทั่วไปในครีมกันแดดก่อให้เกิดอนุมูลอิสระซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดความเสียหายกับดีเอ็นเอและการเติบโตของมะเร็งได้ องค์การอาหารและยา (US FDA) จำกัด สาร benzophenone-3 ให้ใช้ได้ไม่เกิน 6 เปอร์เซ็นต์ และยังไม่ได้สั่งห้ามใช้สารเคมีเนื่องจากสารนี้เรียกว่าประสิทธิภาพในการปกป้องรังสียูวี[xi]
วิธีหลีกเลี่ยง: ควรอ่านฉลากครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงการซื้อยี่ห้อที่มีสารเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรง เช่น Amino Benzoic Acid, Octyl Salicyclate, Cinoxate, Dioxybenzone, Phenylbenzimidazole, Homosalate, Menthyl Anthranilate, Octocrylene, Methoxycinnamate, Parabens, และ Oxybenzone เพื่อหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่เป็นอันตรายเหล่านี้ คุณยังสามารถทำครีมกันแดดใช้เองได้ด้วยน้ำมันหอมระเหย น้ำมันมะพร้าว เชียบัตเตอร์ และ Non-nano Zinc Oxide
7. การขาดแสงแดด ตามรายงานจากนักวิจัยของ Moores Cancer Center แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก ผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ประมาณ 250,000 รายและมะเร็งเต้านม 350,000 รายสามารถป้องกันได้ทั่วโลกด้วยการเพิ่มระดับวิตามินดี 3 นักวิจัยตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินดีกับมะเร็งโดยใช้การวัดแสงดวงอาทิตย์และเมฆจากดาวเทียม พวกเขาเอาข้อมูลดังกล่าวและวิเคราะห์ระดับวิตามิน D3 ซีรั่มในเลือด ในท้ายที่สุดนักวิจัยพบความสัมพันธ์ผกผันระหว่างวิตามิน D ในเลือดกับความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทรวงอก ซึ่งหมายความว่าถ้ามีวิตามิน D น้อย ความเสี่ยงการเกิดมะเร็งก็สูง[ii] แม้ว่าแสงแดดมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อผิว แต่ดวงอาทิตย์ก็เป็นแหล่งวิตามิน D ที่ดีที่สุด เพียงอย่ามากเกินไปและอย่าลืมตรวจสอบระดับวิตามิน D อย่างสม่ำเสมอ
วิธีหลีกเลี่ยง: มีหลายวิธีในการอาบแดดและรับประทานวิตามิน D ในชีวิตประจำวัน คุณสามารถใช้เวลาพักผ่อนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์โดยการตั้งแคมป์ วิ่งออกกำลังกายในสวนสาธารณะ ปั่นจักรยาน ทำสวนหรือว่ายน้ำในสระว่ายน้ำกลางแจ้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย
8. ไวรัสและแบคทีเรีย ขณะที่ไวรัสและแบคทีเรียก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงในระยะสั้น แต่บางประเภทก็มีผลต่อสุขภาพในระยะยาว ไวรัส เช่น Epstein-Barr (หรือ EBV โมโน และอีกหลายชื่อ) และ HIV เชื่อมโยงกับเกิดมะเร็งจากการศึกษาเป็นจำนวนมาก นักวิจัยเชื่อว่าอย่างน้อย 95 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโดยทั่วไปมีผลกระทบจาก EBV เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ EBV เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดในเรื่องของการทำให้เกิด mononucleosis หรือ "mono", "kissing disease" แต่การติดเชื้อ EVB ส่วนใหญ่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้แม้แต่ในขณะที่อยู่ในร่างกาย คนส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือผลกระทบในทันที EBV ยังคงอยู่เฉย ๆ ตลอดชีวิตจนกว่าจะมีการกระตุ้นจากสารพิษหรือรา การขาดสารอาหาร การบาดเจ็บ การสัมผัสโลหะหนัก และการเกิดปัญหาด้านจิตใจสามารถทำให้ไวรัสที่อยู่เฉย ๆ กลับคืนมาทำงานได้ ในการศึกษาในปี 2016 นักวิจัยพบว่าเซลล์เต้านมเชื่อมต่อกับ EBV และกลายเป็นมะเร็งชนิดรุนแรง ด้วยเหตุนี้นักวิจัยจึงสรุปว่า EBV อาจเพิ่มอัตราการเติบโตของมะเร็งเต้านม[iii]
การวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าบุคคลที่มีเชื้อ HIV มีความเสี่ยงสูงในการพัฒนามะเร็ง Kaposi's Sarcoma (มะเร็งผิวหนังชนิดหนึ่ง) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Non-Hodgkin (มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มาจากการเกิดมะเร็งที่เม็ดเลือดขาว) และมะเร็งปากมดลูก[iv] ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้มักเรียกว่า "เงื่อนไขกำหนดจากโรคเอดส์" เพราะถ้าคนที่ติดเชื้อ HIV เงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงพัฒนาการของโรคเอดส์
9. ทำงานกะกลางคืน เกือบ 15 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกันทำงานกะกลางคืน จากงานวิจัยจำนวนมากพบว่า งานกลางคืนอาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งในบางคน ในการศึกษากับหนู นักวิจัยของ MIT พบว่ายีนสองตัวที่มีหน้าที่ควบคุมจังหวะการทำงานของนาฬิกาชีวภาพ ซึ่งมีวัฏจักร 24 ชั่วโมงที่ควบคุมเราให้นอนหลับและตื่น ยังทำหน้าที่กดการเกิดเนื้องอก
เมื่อพิจารณาถึงจังหวะของนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย มันทำงานหลักในการตอบสนองต่อแสงและความมืดตามสภาพแวดล้อม งานกะกลางคืนทำให้จังหวะตามธรรมชาติของร่างกายนี้แปรปรวน ในการศึกษา นักวิจัยได้แบ่งหนูออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งของหนูได้ผ่านช่วงเวลาที่แสงปกติ (รับแสง 12 ชั่วโมง และอยู่ที่มืด 12 ชั่วโมง) อีกกลุ่มหนึ่งได้รับแสงเป็นเวลา 8 ชั่วโมงทุก ๆ 2 ถึง 3 วัน เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมหนูที่สัมผัสแสงผิดปกติจะมีอัตราการเติบโตของเนื้องอกที่เร็วและรุ่นแรงมากขึ้น[v]
10. อาหารที่ไหม้ มะเร็งเชื่อมโยงกับอาหารทอดและการอักเสบอย่างไม่ต้องแปลกใจ แต่ที่มีมากกว่านั้นคือ อะคริลาไมด์เป็นสารเคมีที่สร้างขึ้นในอาหารประเภทแป้ง (เช่นมันฝรั่งและขนมปังปิ้ง) เมื่ออาหารเหล่านี้ถูกปรุงสุกที่อุณหภูมิสูง การทอด การอบ หรือการปิ้งอาหารที่เป็นแป้งสูงกว่า 120 เซลเซียสดูเหมือนจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างอะคริลาไมด์ ในขณะที่การต้มและการอบด้วยไมโครเวฟจะมีน้อยกว่า การศึกษาชี้ให้เห็นว่าอะคริลาไมด์สามารถทำลายดีเอ็นเอและทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ได้ (ผมยังคงหลีกเลี่ยงการใช้ไมโครเวฟในอาหารของผมด้วยเหตุผลอื่น ๆ) ด้วยเหตุนี้หน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยเกี่ยวกับมะเร็งจึงกำหนดให้อะคริลาไมด์เป็นสารที่อาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ [vi]
สาเหตุของโรคมะเร็งในโลกของอาหารที่มีมากกว่าอะคริลาไมด์ เนื้อสัตว์ที่ไหม้ไฟยังไง แต่ก็ข่าวดี คุณสามารถลดสารก่อมะเร็งได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์โดยการทำอาหารง่าย ๆ การวิจัยจากศูนย์วิจัยโรคมะเร็งของฮาวายพบ ว่าการปรุงอาหารโดยใช้น้ำหมักที่ใช้ในร้านค้าที่มักมีน้ำตาลและฟรุกโตสจำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดสารประกอบที่เป็นสารก่อมะเร็ง ที่พบในควันบุหรี่มากเป็น 3 เท่า
วิธีหลีกเลี่ยง: เพื่อความปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รับประทานอาหารที่เป็นแป้งเหล่านี้เพียงแค่ "เป็นสีน้ำตาลทอง" และไม่ไหม้ หลีกเลี่ยงการทอด การอบ หรือการปิ้งเป็นเวลานานในอุณหภูมิสูง สามารถช่วยให้อะคริลาไมด์ไม่สูงเกินไป การหั่นแล้วแช่ในน้ำเป็นเวลา 30 นาทีจะช่วยลดระดับอะคริลาไมด์ลง 38 เปอร์เซ็นต์ หากคุณมีเวลามากขึ้นการแช่น้ำ 2 ชั่วโมงจะลดระดับแอคริลาไมด์ลงได้ครึ่งหนึ่ง แต่แม้กระทั่งการล้างน้ำอย่างรวดเร็วก็ช่วยลดลงได้ 23 เปอร์เซ็นต์ แน่นอนการหลีกเลี่ยงมันฝรั่งทอดและมันฝรั่งเป็นวิธีที่ดีในการจำกัดอะคริลาไมด์และแคลอรี่ส่วนเกินด้วย
ในการลดปัจจัยมะเร็งในเนื้อสุก คุณสามารถลดระดับสารก่อมะเร็งทั้งหลายโดยหมักเนื้อสัตว์ใช้น้ำส้มสายชูแทนน้ำตาล และอาจรวมเครื่องเทศอื่น ๆ เช่น ขมิ้น กระเทียม และสมุนไพรอย่างโรสแมรี ด้วยก็ได้
11. ชีวิตที่เชื่อยชา จากการวิเคราะห์ในปี 2557 ของมหาวิทยาลัย Regensburg ประเทศเยอรมนี ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างเวลาในการดูทีวี ระยะเวลาในการพักผ่อนหย่อนใจ เวลาที่นั่งทำงาน และเวลานั่งรวมซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเกิดมะเร็ง เมื่อเปรียบเทียบระดับสูงสุดถึงต่ำสุดของผู้มีวิถีชีวิตที่เชื่อยชา นักวิจัยพบว่าผู้เข้าร่วมวิจัยมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งปอด ความเสี่ยงต่อมะเร็งเพิ่มขึ้นเมื่อมีการนั่งเพิ่มขึ้นทุก 2 ชั่วโมง ผลนี้ดูเหมือนจะไม่ยกเว้นผู้ที่ออกกำลังกาย ซึ่งหมายความว่าเวลาที่ใช้นั่งที่มากยังคงเป็นอันตราย แม้ว่าจะเป็นคนที่กระชับกระเชง[vii]
สมาคมมะเร็งของอเมริกาให้คำแนะนำล่าสุดสำหรับผู้ใหญ่ว่า ให้ทำกิจกรรมระดับปานกลางเป็นเวลาอย่างน้อย 150 นาที หรือกิจกรรมที่ค่อนข้างใช้พลังงานมาก 75 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งไม่รวมถึงกิจกรรมประจำวันเช่น การขึ้นบันไดแทนที่จะใช้ลิฟท์ หรือทำงานบ้าน สำหรับเด็กข้อเสนอแนะอย่างน้อย 60 นาทีของกิจกรรมในระดับปานกลางหรือใช้พลังงานมากในแต่ละวัน โดยมีกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์[viii]
วิธีหลีกเลี่ยง: การนั่งอยู่หลาย ๆ ชั่วโมงอาจเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับพนักงานออฟฟิศ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากับชีวิตที่เชื่อยชา ลองใช้โต๊ะที่ใช้ยืนทำงาน หรือเปลี่ยนเก้าอี้สำนักงานธรรมดาเป็นลูกบอลออกกำลังกาย (ตัวอย่างตามรูปข้างล่าง) ตลอดทั้งวัน ให้ตั้งนาฬิกาเตือนเพื่อยืนขึ้นและยืดเส้นยืดสายบ่อย ๆ เป็นช่วง ๆ ถ้าทำได้ให้เริ่มจัดประชุมเดินหรือใช้โทรศัพท์ขณะเดินเล่นรอบ ๆ อาคาร

ข้อคิดสุดท้ายเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง (ความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด)
ยิ่งคุณรู้มากเท่าไหร่ คุณก็สามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งได้มากขึ้น ซึ่งอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของมะเร็งเกิดจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมหรือทางเศรษฐกิจและสังคม ไม่ใช่แค่พันธุกรรมเท่านั้น
การใช้ชีวิตที่กระชับกระเชง การบริโภคอาหารที่เหมาะสม การหลีกเลี่ยงสารเคมีที่เป็นพิษ การรักษาสุขภาพ และ การแวดล้อมตัวคุณเองในสภาพแวดล้อมที่ดี สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้หลายชนิด
ในสำคัญที่สุด การเปลี่ยนนโยบายระดับสูงในการกำจัดสารพิษที่อยู่ในยากำจัดศัตรูพืชและสารเคมีที่ใช้ในครัวเรือนออกจากอาหารและผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน
อ้างอิง
เขียน Dr. Axe
ต้นฉบับบทความ: https://goo.gl/H1cGEp
[i] https://www.ewg.org/sunscreen/report/skin-cancer-on-the-rise/
[ii] https://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2014/05/28/vitamin-d-deficiency-signs-symptoms.aspx
[iii] https://thetruthaboutcancer.com/epstein-barr-virus-breast-cancer-connection/
[iv] https://www.cancer.net/cancer-types/hivaids-related-cancer/introduction
[v] http://news.mit.edu/2016/night-shift-cancer-risk-0728
[vi] https://www.cancer.org/cancer/cancer-causes/acrylamide.html
[vii] https://academic.oup.com/jnci/article/106/7/dju206/1010488
[viii] https://www.cancer.org/cancer/cancer-causes/diet-physical-activity/diet-and-physical-activity.html
[i] https://www.cancer.gov/about-cancer/understanding/statistics
[ii] http://www.newswise.com/articles/view/674291/?sc=sphn
[iii] https://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/risk/substances/formaldehyde/formaldehyde-fact-sheet#q4
[iv] https://www.ajc.com/lifestyles/health/scented-candles-might-create-harmful-formaldehyde-your-home/Y7D2tVBCqMxCDuvY5GqtcO/
[v] https://www.bcpp.org/our-work/tips-for-prevention/personal-care-products/
[vi] https://www.bmj.com/content/353/bmj.i2314
[vii] https://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/risk/alcohol/alcohol-fact-sheet
[viii] https://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/risk/alcohol/alcohol-fact-sheet
[ix] http://www.xn--22cd2c1arkbdmea1adsd9bk3c7crjcdn1mxj.com/pdf_file/vol_08.pdf
[x] https://www.ewg.org/release/national-study-toxic-nonstick-chemicals-still-found-many-fast-food-wrappers#.WvhcDYiFOUk
[xi] https://www.ewg.org/sunscreen/report/skin-cancer-on-the-rise/
Comments