top of page
  • Writer's pictureกันต์ธนน วณิชพิสิฐธนา

เราจำเป็นต้องใช้อาหารเสริมหรือไม่


อาหารเสริมที่ไม่ใช่ยา

ปัจจุบันสื่อทุกชนิดบนอินเตอร์เน็ตมีทั้งข้อคิดที่เป็นบวกและลบในเกือบทุกเรื่อง แม้แต่การมีเงินมากเกินไปกลับกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายสำหรับคนบางคนด้วยซ้ำไป คนจำนวนมากไม่ทันได้ทราบตื้นลึกหนาบางของเรื่องต่าง ๆ ก็มักอ้าปากสวนออกไปเสียแล้ว ทำให้คนเหล่านี้ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาควรจะรับทราบอย่างถ่องแท้

การทำใจให้เป็นกลางและฟังเรื่องเดียวกันจากหลาย ๆ มุมเพื่อมาประมวลผลนั้น จะทำให้คนเหล่านี้เข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง จะมีความสุขุมรอบคอบในเรื่องต่าง ๆ การทำใจเป็นกลางและรับฟังผู้อื่นนั้น อาจทำได้ยากสำหรับคนจำนวนมากเพราะไม่ได้รับการฝึกมา และที่ไม่ได้รับการฝึกมาก็เนื่องมาจากเป็นคนที่ไม่ค่อยจะฟังคนอื่นแต่ต้นอยู่แล้ว การฝีกฝนในลักษณะนี้เราจะต้องยอมรับว่าพฤติกรรมชอบพูดขัดผู้อื่นนั้นเป็นข้อเสียและต้องการเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ จึงจะเป็นแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง หากบุคคลนั้นไม่ได้คิดว่าพฤติกรรมนั้นไม่ได้เป็นข้อเสีย สอนไปฝึกไปก็ไม่ได้ผล


บรรดาแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และผู้รู้ทั้งหลายถกเถียงกันเรื่องอาหารเสริม


การใช้อาหารเสริมนั้น เป็นที่ถกเถียงกันมานานแม้แต่แพทย์กันเองก็ยังถกเถียงกัน และก็เชื่อว่าจะยังถกเถียงกันต่อไปอีกนานว่ามีความจำเป็นหรือไม่ ในบทความนี้ผมไม่ได้มาชี้ว่าการใช้อาหารเสริมนั้นจำเป็นหรือไม่สำหรับคุณ เพียงแต่ต้องการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมานำเสนอและประสบการณ์ส่วนตัว เพื่อให้ท่านได้พิจารณาอยากชาญฉลาด

ผมเองเป็นคนชอบทดลอง อย่างหนึ่งที่ผมไม่แน่ใจว่าจะมีใครในประเทศไทยทำหรือเปล่าก็คือการมองดวงอาทิตย์เพื่อสุขภาพซึ่งได้เรียนรู้จาก Youtube อธิบายโดยกูรูชาวอินเดีย เขาสอนให้มองดวงอาทิตย์ทุกวันจนถึง 44 นาทีโดยไม่หยุด (ผมไม่แนะนำให้ทำ แต่ถ้าอยากเสี่ยงโปรดศึกษาวิธีการที่ถูกต้องครับ) ผมทำได้ประมาณ 7 นาทีแล้วเพราะพื้นที่บ้านไม่ค่อยอำนวย เพียงแค่นี้ผมก็รู้สึกว่าตาผมมองได้ดีในเวลากลางคืนและสามารถทนแสงจ้าได้มากกว่าเดิม

การใช้สารอาหารก็เช่นกัน ผมเคยพบปัญหามีแสงแวบที่หางตาเป็นระยะ และจากการค้นหาบนอินเตอร์เน็ตพบว่า เป็นอาการของวุ้นในตาเสื่อม และสิ่งที่ผมตัดสินใจทำก็คือไม่ไปหาหมอ แต่รับประทานสารสกัดเข้มข้นที่มีลูทีนและซีแซนธีนอยู่ 2 เดือน อาการนั้นก็หายไปประกอบกับการมองดวงอาทิตย์ด้วย อาการนี้ก็ไม่กลับมาอีกเลย


การขอความคิดเห็นเรื่องใช้สารอาหารจากแพทย์


การไปพบแพทย์นั้น อาจไปเพราะเนื่องจากมีโรคภัยไข้เจ็บหรือเพียงเพื่อตรวจร่างกายสำหรับการป้องกัน หากคุณไปพบแพทย์เพราะโรคภัยไขเจ็บ แพทย์ก็จะรักษาตามอาการของคุณด้วยยาแผนปัจจุบันเพราะนี่คือวิธีการที่แพทย์เรียนรู้มา แพทย์อาจแนะนำเรื่องอาหารการกินที่ไม่ไปกระตุ้นให้โรคกำเริบ ทำให้คุณอาการแย่ลง หรือที่มีผลต่อยาที่คุณต้องรับประทาน คุณอาจพบแพทย์บางคนที่อาจแนะนำให้ใช้สมุนไพรหรือสารอาหารหากแพทย์ได้ศึกษามา แต่ก็เป็นส่วนน้อย

หากคุณไปพบแพทย์ตรวจเพื่อการป้องกัน แพทย์มักจะไม่สนับสนุนให้คุณใช้อาหารเสริมหากคุณไม่มีอาการที่ผิดปกติ อาการที่ไม่ถือว่าเป็นการป่วย เช่น อาจเหนื่อยล้า ไม่ค่อยมีกำลัง เป็นต้น แพทย์อาจแนะนำให้คุณพักผ่อนให้มากและรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเท่านั้น


ทำความเข้าใจกับคำว่าสารอาหาร (Nutrients) และอาหารเสริม (Dietary Supplements) และความเข้าใจของแพทย์เกี่ยวกับสารอาหาร


ผมขอขยายความความหมายของคำว่า สารอาหารและอาหารเสริมให้ชัดเจนเสียก่อน จะได้ไม่เข้าใจผิดพลาด

สารอาหาร หมายถึงสารที่เป็นส่วนประกอบอยู่ในอาหาร ที่รับประทานเข้าไปในร่างกายแล้วร่างกายนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการดำรงชีวิตของร่างกาย เช่น ให้พลังงานในการดำรงชีวิต เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อ ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย[i] ส่วนอาหารเสริมนั้น หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่มีเจตนาให้สารอาหารที่อาจบริโภคในปริมาณที่ไม่เพียงพอแก่ร่างกาย[ii]

หลักสูตรแพทย์ที่ใช้กันอยู่ทั้งในและต่างประเทศนั้นไม่แตกต่างกันในภาพรวม ถ้าคุณได้ลองไปตรวจสอบแผนการเรียนดู คุณจะพบว่าแพทย์ไม่ได้เรียนเรื่องสารอาหารหรือเรียนน้อยมาก (ไม่มากพอที่จะแนะนำได้ว่า คุณควรจะรับประทานอะไรเพื่อให้สุขภาพดี) หลักสูตรแพทย์สอนให้แพทย์ใช้ยาที่ผลิตจากบริษัทยาเท่านั้นเพื่อบรรเทาอาการป่วยต่าง ๆ แพทย์บางคนก็เป็นเบาหวาน โรคหัว โรคความดัน และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย

คุณเคยได้ยินไหมว่าคนที่เป็นโรคตับแข็งนั้น สามารถใช้ยารักษาให้ตับกลับมาดีเหมือนเดิมได้ (ในกรณีเสียหายไม่มาก) การที่คนเกิดโรคตับแข็งนั้น มีสาเหตุมาจากอย่างน้อยหนึ่งในหลาย ๆ สาเหตุ ทุกส่วนของร่างกายสามารถถูกสร้างขึ้นใหม่ได้ เช่นเดียวกับแผลที่ถูกมีดบาดและเซลล์ก็สร้างผิวใหม่มาทดแทน หากผู้ป่วยได้รับอาหารที่ดีก็อาจสามารถทำให้กลับมาชีวิตที่เป็นปกติได้หากโรคนั้น ๆ ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรม ดังนั้น หากใครสามารถหายจากโรคตับแข็งได้ สาเหตุไม่ได้มาจากยา แต่มาจากการรับประทานอาหารที่ทำให้ร่างกายสามารถสร้างเนื้อเยื่อตับใหม่มาทดแทนเซลล์ที่เสียหายไปได้

โดยปกติแล้วอวัยวะของเราก็จะเสื่อมโทรมไปตามอายุแม้จะเป็นผู้ที่สุขภาพแข็งแรงก็ตาม แต่ถ้าในกรณีที่ตับของเราเกิดเสียหายและทำงานไม่ปกติหลังจากแก้ไขสาเหตุของอาการผิดปกติแล้ว การที่จะให้ร่างกายของของเราสร้างเซลล์ตับขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายไปแล้วคงไม่ได้ใช้แค่อาหารที่เรารับประทานเป็นปกติทุกวันแน่

การที่แพทย์ไม่ทราบถึงการใช้สารอาหารเพื่อดูแลสุขภาพนั้น ไม่ได้เป็นความผิดของแพทย์ เพราะในหลักสูตรไม่ได้สอนให้ใช้วิธีอื่นนอกจากยาหรือได้เรียนรู้ถึงสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพราะถ้าต้องเรียนรู้เรื่องนี้แล้ว หลักสูตรแพทย์อาจต้องกลายเป็น 7 หรือ 8 ปีก็ได้

แต่สิ่งที่แย่ที่สุดในการไปปรึกษาแพทย์เรื่องสารอาหาร ไม่ได้อยู่ที่แพทย์ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับความสำคัญของสารอาหารต่าง ๆ ต่อร่างกาย แต่กลายเป็นแพทย์มักเป็นประเภทน้ำเต็มแก้วเพราะเรียนรู้มามาก จึงมักไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เรียนรู้มา คนประเภทนี้ก็จะเหมือนกับคนที่พูดโดยไม่ฟังคนอื่น อาจเรียกได้ว่า เหมือนอยู่ในกะลาตลอดไปจนกว่าจะเปลี่ยนวิธีคิด (ขอโทษคุณหมอทั้งหลายเพราะส่วนใหญ่จะเก่ง เลยอีโก้เยอะ)

หากคุณต้องการขอความเห็นเรื่องนี้จากแพทย์ คุณควรปรึกษาแพทย์ที่ได้ศึกษาเรื่องสารอาหารเพิ่มเติมและใช้สารอาหารในการดูแลผู้ป่วยเรียกว่า Functional Medicine ถ้าคุณเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี ผมขอแนะนำหนังสือเล่มหนึ่งให้อ่านชื่อ “What the Doctor Doesn't Know about Nutritional Medicine May Be Killing You” เขียนโดย Ray D. Strand, MD.


การสูญเสียสารอาหารในอาหารสด


อาหารสดส่วนใหญ่ใช้เวลาหลายวันกว่าจะมาถึงจุดขาย

เราได้เรียนกันมาตลอดว่า การรับประทานอาหารจากของสด ๆ นั้น จะได้ประโยชน์มากที่สุด สมัยก่อนนั้น คนมักปลูกพืชสวนครัวรับประทานเอง ดังนั้นพืชผักที่ได้จึงมีสารอาหารที่มาก ซึ่งก็ยังเป็นจริงอยู่จนถึงปัจจุบัน แต่ปัจจุบัน เราไม่ได้ปลูกพืชสวนครับเหมือนแต่ก่อน สิ่งที่เราหลาย ๆ คนอาจไม่ทราบก็คือ ตั้งแต่เก็บเกี่ยวพืชผักจนถึงขั้นตอนปรุงอาหารเพื่อรับประทานนั้น มีระยะเวลายาวนานมากเพียงใด สารอาหารในของสดเริ่มสูญเสียไปตั้งแต่ผักและผลไม้ถูกเก็บเกี่ยว ล้าง ขนส่งมายังจุดกระจายสินค้า ส่งต่อไปยังผู้ขาย ล้าง ถูกซื้อไปเพื่อประกอบอาหาร แช่เย็น ถูกล้างก่อนนำมาปรุงอาหาร แล้วรับประทาน เนื้อสัตว์ก็เช่นเดียวกัน

จะเห็นได้ว่าการเดินทางของของสดเหล่านี้ค่อนข้างหลายวันพอควร ระยะเวลายิ่งนานเท่าไร สารอาหารในของสดเหล่านั้นก็ยิ่งถูกทำลายไปไม่ว่ามาจากอุณหภูมิของที่เก็บ การล้าง การเกิดการสันดาปกับออกซิเจนในอากาศ ความร้อนการปรุงอาหาร

นอกเหนือจากการสูญเสียสารอาหารจากระยะเวลาตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว มีงานวิจัยที่ถูกอ้างอิงในต่างประเทศซึ่งเป็นเอกสารของ Department of Agriculture สหรัฐอเมริกาที่ผู้เขียนบทความเรื่องสารอาหารจำนวนมากมักกล่าวถึง โดยกล่าวว่า พืชและผลไม้ในปัจจุบันมีสารอาหารลดน้อยลงจากเมื่อประมาณ 50 ปีก่อนซึ่งมีสาเหตุมาจากนวัตกรรมการปลูกพืชสมัยใหม่ การเน้นปลูกพืชเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น และขาดการปลูกพืชหมุนเวียน

ในเรื่องนี้มีงานวิจัยอย่างน้อยหนึ่งฉบับได้ผลวิจัยที่ขัดแย้งกับบทความข้างต้น[iii] ซึ่งผมจะไม่ลงในรายละเอียด เนื่องจากมีงานวิจัยที่สนับสนุนและคัดค้านเรื่องการสูญเสียสารอาหารอันเนื่องมาจากกระบวนการเพาะปลูกนั้นน้อยมาก ดังนั้น ผมจึงไม่ใช้ข้อมูลนี้มาเป็นประเด็น

สิ่งที่เรารับทราบและยอมรับก็คือ สารอาหารในอาหารต่าง ๆ จะสูญเสียอย่างต่อเนื่องหากถูกเก็บไว้นาน หากมีการเก็บรักษาอาหารนั้นอย่างถูกต้องก็ยังทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดลงแม้จะไม่รวดเร็วก็ตาม โปรดอาจบทความนี้ในเรื่องการสูญเสียสารอาหาร เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น


ชีวิตของคุณรุ่นใหม่กับการรับประทานอาหาร


ถ้าคุณอยู่ในเมืองขนาดใหญ่เช่นใน กทม. คุณสามารถจินตนาการได้ว่าคนในเมืองจำนวนมากมีอุปนิสัยในการรับประทานอาหารอย่างไร แน่นอนว่ามักจะซื้อในตลาด ริมถนน หรือไม่ก็ร้านสะดวกซื้อ เพราะฉะนั้นคุณน่าจะมองเห็นด้วยตัวเองว่า สารอาหารในอาหารที่คุณรับประทานจะมีหลงเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด และแน่นอนว่า ซื้อจากร้านสะดวกซื้อนั้นแย่สุดเพราะผ่านกระบวนทางอุตสาหกรรมด้วย

อาหารสำเร็จรูปในร้านสะดวกซื้อมักจะมีปริมาณของโซเดียมจำนวนมาก ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการบริโภคโซเดียมมากเกินไปได้แก่ผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปี ผู้ที่มีความดันโลหิตค่อนไปทางสูง และผู้ที่เป็นโรคหัวใจและเบาหวาน[iv] ผมเคยได้ยินแพทย์ท่านหนึ่งบอกผมว่าการรับประทานโซเดียมมากเกินไปยังมีผลทำให้ผู้หญิงมีสะโพกใหญ่ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าอยากลดขนาดสะโพกก็ให้ลดปริมาณโซเดียมเสีย (ผมคิดว่าแม้ข้อความนี้ไม่จริงก็ไม่ได้ทำให้เป็นโทษต่อร่างกาย ก็เลยนำมาเล่าสู่กันฟังครับ ลองดูก็ไม่ได้เสียหาย)

ความจริงแล้ว ยังมีส่วนผสมทางอุตสาหกรรมที่ถูกเพิ่มเติมเพื่อให้อาหารเหล่านี้มีรสชาดดี คงสี คงสภาพให้เหมือนของปรุงสดอีกมากมายซึ่งก็ไม่ใช่ประเด็นในวันนี้

คนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ผมได้พูดคุยด้วย แม้จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่ก็มีมีปัญหาในเรื่องท้องผูก เพราะรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาและซื้ออาหารจากร้านสะดวกซื้อเป็นหลัก แม้จะไม่ใช่อาการร้ายแรง แต่ถ้าปล่อยให้ร่างกายมีปัญหาเช่นนี้ไปนาน ๆ ก็อาจรุกรามไปเป็นเรื่องอื่นได้


ชีวิตคนสูงวัยกับการรับประทานอาหาร

อาหารแช่เย็นที่เป็นยอดนิยมของหนุ่มสาวรุ่นใหม่

อาหารสำเร็จแช่เย็นอาจไม่ได้เป็นที่นิยมมากสำหรับคนรุ่นนี้ แต่คนสูงวัยก็รับประทานอาหารที่มีแป้งและไขมันเป็นปริมาณมาก จะเห็นได้ว่า คนที่มีอายุราว 40-50 ปีขึ้นก็เริ่มมีปัญหา ลงพุง ความดันสูง มีโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และอาการอื่น ๆ มากขึ้น และเป็นที่น่ากังวลใจมากขึ้นว่า โรคเหล่านี้ซึ่งเรียกว่าโรคไม่ติดต่อ (Non-communicable Diseases - NCD) เริ่มขึ้นขึ้นในคนอายุ 30 ต้น ๆ มากขึ้น อาการต่าง ๆ เหล่านี้มาจากการที่เราไม่รู้จักการโภชนาการที่ดี ประกอบกับอาหารที่หลากหลายที่ทำให้คนเหล่านี้เพลิดเพลินกับการรับประทานอย่างไม่คิดถึงผลเสียต่อร่างกายซึ่งเรียกว่าอยู่เพื่อกิน ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือบุฟเฟต์ที่รับประทานได้ไม่อั้น

เมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะในร่างกายก็เริ่มเสื่อมโทรม เซลล์ใหม่ ๆ ที่จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนเซลล์เก่าก็ผลิตได้น้อยลง อันนี้เป็นกลไกของธรรมชาติที่เปลี่ยนไปตามระยะเวลา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า คนสูงวัยจะต้องเป็นโรคภัยไข้เจ็บก่อนลาโลกเสมอไป คนสูงวันสามารถดูแลให้ร่างกายแข็งแรง ดูอ่อนเยากว่าอายุจริงได้แม้อายุจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ผลนี้มาจากการได้รับสารอาหารและการพักผ่อนที่มากพอ การมีอารมณ์ที่ดี และออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย

เมื่อร่างกายของคนสูงวัยทำงานมีประสิทธิภาพน้อยลงแล้ว การได้รับสารอาหารที่เพียงพอมีความสำคัญมาก วิทยาศาสตร์ด้านสารอาหารในปัจจุบันเริ่มเข้าใจในความสำคัญของสารอาหารแต่ละตัวที่เราจำเป็นต้องรับประทานเพื่อทำให้ร่างกายของเราสามารถทำงานได้ดีขึ้นและสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ได้มากขึ้น ทำให้เราแข็งแรงและช่วยให้อวัยวะในร่างกายทำงานได้สมบูรณ์ขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการปล่อยให้เสื่อมโทรมไปตามยถากรรม เราจะเห็นได้จากคนญี่ปุ่นในหมู่เกาะโอกินาวาจำนวนมากที่มีอายุเกินร้อยปีโดยที่มีสุขภาพแข็งแรง เพราะรับประทานอาหารที่ผลิตจากที่เกาะเป็นหลัก ซึ่งได้แก่สัตว์ทะเล พืชและสมุนไพรที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีอันตราย ประกอบกับชีวิตที่เรียบง่ายของสังคม


อนุมูลอิสระ


ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงมักจะใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องอนุมูลอิสระมากกว่าผู้ชาย เพราะอนุมูลอิสระมีผลต่อการที่ทำให้ผู้หญิงมีรอยเหี่ยวย่นบนส่วนต่าง ๆ ของผิวกาย ความเป็นจริงแล้วอนุมูลอิสระไม่ได้มีผลแค่ผิวกายเท่านั้น แต่มีผลต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยปกติแล้วอนุมูลอิสระเกิดขึ้นภายในร่างกายซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการที่ร่างกายเปลี่ยนอาหารไปเป็นพลังงาน อนุมูลอิสระสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ แต่การมีมากเกินไปทำให้เกิดภาวะ Oxidative Stress เป็นโทษต่อร่างกาย เพราะมันทำให้เซลล์ของร่างกายเสื่อมถอย ทำให้เกิดการอักเสบ (Inflammations) ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และผลที่สุดก็จะทำให้เราเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน สมองเสื่อม ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดขาดความยืดหยุ่น และแม้แต่มะเร็ง เราจึงได้ยินโฆษณาสินค้าในปัจจุบันเป็นจำนวนมากที่กล่าวถึงการกำจัดอนุมูลอิสระ

สารต้านอนุมูลอิสระเป็นสารประกอบที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นได้ และสามารถได้จากพืชและสัตว์ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้นการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระก็จะลดลง เราจึงจำเป็นต้องได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากอาหารมากขึ้น สารที่ใช้ต้านอนุมูลอิสระก็แตกต่างกันออกไป บางตัวอาจดูแลได้ทั่วร่างกาย บางตัวก็อาจมีผลโดยตรงกับบางส่วนของร่างกายเช่น ลูทีนและซีแซนธีนช่วยป้องกันจอประสาทตาเสื่อมและวุ้นในตาเสื่อม EPA และ DHA ได้จากปลาช่วยบำรุงหัวใจและสมองตามลำดับ หรือแม้แต่คอลลาเจนประเภท 2 เองก็มีความสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและข้อต่อ ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยแนะนำให้คนที่มีปัญหาเรื่องกระดูกใช้ เป็นต้น ปัจจุบันนักวิทยาสตร์ยังศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องถึงสารอาหารต่าง ๆ ว่าตัวใดที่มีผลกับส่วนไหนของร่างกายเพื่อการบำบัดโรคที่ได้ผลมากขึ้น

จากการที่ร่างกายเริ่มผลิตสารต้านอนุมูลอิสระลดลง เราจึงต้องรับประทานอาหารที่มีสารอาหารมากขึ้น ซึ่งมักจะเป็นผัก ผลไม้ และรวมทั้งเนื้อสัตว์ด้วย แต่ถ้าปริมาณสารอาหารในอาหารสูญเสียไปกับขั้นตอนต่าง ๆ จนเป็นอาหารบนโต๊ะของเราแล้ว เรามีทางออกอย่างไร แน่นอนผมมีทางออกของผมแล้ว แล้วคุณมีทางออกอะไร


สรุป


ผมได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสารอาหารเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปีแล้ว และได้ดูแลตัวเองด้วยอาหารเสริมบางตัวที่มีคุณภาพ การรักษาความผิดปกติของร่างกายโดยวิธีธรรมชาติ เช่น อาการสายตาสั้นและยาวโดยไม่ใช้แว่น (ผมอายุเกือบ 62 แล้ว) ปัจจุบัน ผมไม่ได้ใส่แว่นสายตา ซึ่งผมคิดว่าสายตาผมดีกว่าคนหนุ่มสาวจำนวนมาก ขับรถกลางคืนก็ยังสบายมากอยู่ พบแพทย์เฉพาะตรวจร่างกาย ขัดหินปูน เป็นไวรัสตับอักเสบ บี แต่แพทย์เห็นอัลตร้าซาวนด์ตับผมแล้วบอกว่าตับลุงสภาพดีกว่าคนหนุ่มเสียอีก

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด มาจากประสบการณ์ส่วนตัวทั้งสิ้น ถ้าคุณจะเรียนอะไรสักอย่าง ผมคิดว่า คุณคงต้องการเรียนจากคนที่มีประสบการณ์จริงในเรื่องนั้น ๆ ไม่ใช่เรียนจากคนที่อ่านจากหนังสือมาสอนคุณเพราะคุณอ่านเองก็ได้

ดังนั้น ขอให้พิจารณาในการเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องนี้ก็เช่นกัน เป็นเพียงบทสรุปของผมคนเดียว ยังมีบทความเช่นนี้อีกมากบนอินเตอร์เน็ตที่หาอ่านได้ ถ้าภาษาอังกฤษคุณดี ให้ค้นโดยใช้คำว่า Nutraceutical ซึ่งหมายถึงสารอาหารที่มีฤทธิ์เป็นยา




84 views0 comments
bottom of page