top of page
  • Writer's pictureกันต์ธนน วณิชพิสิฐธนา

คนขี้โรคเมื่อเรียนรู้หนึ่งสิ่งนี้แล้ว คุณอาจเลิกป่วยอีกต่อไป

Updated: Jan 30, 2019


Source: Nature.com/scientificamerican

ในเดือนกันยายนปี 2015 สเตฟานี เบนเน็ตต์ นักศึกษาวัย 20 ปีจากมหาวิทยาลัยไอโอวา เริ่มรู้สึกคลื่นไส้ตลอดเวลา เธอแทบจะกินไม่ได้ เมื่อกลับไปหาพ่อแม่ของเธอในวันขอบคุณพระเจ้า เธอน้ำหนักลดไป 20 ปอนด์ (ประมาณ 9 กก.) แพทย์ครอบครัวระบุว่าเธอกำลังติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงเรียกว่า Clostridium Difficile ซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายว่า C. diff และให้เธอใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกัน แต่ก็ไม่ดีขึ้น

ต่อมา แม่ของสเตฟานีได้รับทราบถึงวิธีการรักษาที่เป็นไปได้ เรียกว่าการถ่ายโอนอุจจาระ (Fecal Transplant) โดยที่แพทย์จะถ่ายโอนอุจจาระจากผู้บริจาคที่ปลอดโรคไปยังผู้ป่วยโดยการทำ colonoscopy (สอดเข้าไปทางถวารหนัก) ซึ่งกล่าวว่าช่วยให้เกิดสมดุลของจุลินทรีย์ (Microbiome) ในผู้ป่วย สเตฟานีจำได้ว่าลังเลใจ "ฉันไม่เชื่อว่าแม่ของฉันพูดจริง"

สเตฟานีอาการยังไม่ดีขึ้น แต่กลับแย่ลงต่ออีกหนึ่งภาคการศึกษา ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจเข้ารับการถ่ายโอนอุจจาระในช่วงปิดเทอม เธอกล่าวว่า ผลจากการถ่ายโอนอุจจาระทำให้เธอตกใจ เพราะอาการเลวร้ายที่เกิดกับเธอมาตลอดหายไปภายใน 2 วัน และมันเคยเกิดขึ้นอีกเลย

Sahil Khanna, ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหาร (Gastroenterologist) ที่ Mayo Clinic ใน Rochester, Minnesota ผู้รักษาสเตฟานีกล่าวว่า วิธีนี้รักษา 90% ของผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากการติดเชื้อ C. diff ซึ่งมีผู้ป่วยอยู่ครึ่งล้านคนทุกเพศทุกวัยในสหรัฐอเมริกาในแต่ละปี Khanna กล่าวว่า "เหตุผลที่วิธีนี้ช่วยได้เพราะเราสามารถรับมือกับสาเหตุของปัญหาได้ คือไม่มีแบคทีเรียดีมากพอที่จะสู้กับแบคทีเรียเลวได้"

การรักษาความสมดุลดังกล่าวดูเหมือนจะมีความสำคัญเนื่องจากหลายสาเหตุ นักวิทยาศาสตร์รู้จักมานานแล้วว่าอาณานิคมของแบคทีเรียในลำไส้ของเราช่วยในการย่อยอาหารของเรา แต่การวิจัยใหม่ ๆ จำนวนมากได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทของจุลินทรีย์ในการรักษาสุขภาพของเรา การศึกษาชี้ให้เห็นเพียงว่า แบคทีเรียลำไส้มีอิทธิพลต่อเกือบทุกด้านของสรีรวิทยาและชีววิทยาของเรา จุลินทรีย์ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันเพื่อปกป้องเราจากเชื้อโรค และช่วยควบคุมการเผาผลาญและควบคุมน้ำหนักรวมถึงการทำงานที่สำคัญอื่น ๆ ที่เราเพิ่งเริ่มทำความเข้าใจเท่านั้น เพราะว่ามันเป็นเรื่องสำคัญแต่เราก็ยังไม่เข้าใจมันมากนัก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่ามันเป็นเหมือน "อวัยวะที่ถูกลืม" และเป็นตัวแทนด้านการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่เพื่อค้นคว้าต่อไป

Eamonn Quigley ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารของโรงพยาบาล Houston Methodist ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านการวิจัยเกี่ยวกับโรคในลำไส้กล่าวว่า "ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนี้เป็นแบบก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จุลินทรีย์ที่มีสุขภาพดีมีความสำคัญต่อสุขภาพ ความหลากหลายของจุลินทรีย์มีมากเท่าไร สุขภาพองคุณก็จะดีขึ้นตามไปด้วย" การเรียนรู้ล่าสุดที่น่าตื่นเต้นนี้ทำให้เราเข้าใจถึงการสื่อสารที่ซับซ้อนระหว่างจุลินทรีย์ในกระเพาะอาหารและสมองและวิธีการที่อาจส่งผลต่อแรงจูงใจและการรับรู้รวมทั้งสุขภาพจิตและโรคต่าง ๆ


สมองที่สองของคุณ


จุลินทรีย์นี้เติบโต้ในลำไส้ของเราตั้งแต่เราเป็นทารก ในช่วงแรก ๆ ของการเป็นทารก การพัฒนาของจุลินทรีย์นี้มีผลอย่างมากต่อการพัฒนาไปเป็นโรคภัยต่าง ๆ ในตัวมนุษย์เมื่ออายุมากขึ้น และเมื่อเราอายุมากขึ้น ประเภทของอาหารที่เรารับประทานเริ่มหลากหลายขึ้น จุลินทรีย์ในลำไส้ก็ต้องมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับรูปแบบต่าง ๆ ของอาหาร (ประเภทของเนื้อเยื่ออาหาร) งานวิจัยใหม่ ๆ ชี้ให้เห็นว่าจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารอาจปรับให้ร่างกายกักเก็บไขมัน ควบคุมระดับน้ำตาลเลือดและตอบสนองต่อโฮโมนต่าง ๆ จุลินทรีย์นอกจากพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันแล้ว ยังพัฒนาเครือข่ายของเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะที่ทำหน้าที่ป้องกันไวรัสและแบคทีเรียที่รุกรานซึ่งก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บและการอักเสบโดยระบบภูมิคุ้มประมาณร้อยละ 60-80 จะอยู่ในบริเวณลำไส้

งานวิจัยใหม่ ๆ เริ่มให้ความสนใจความเชื่อมโยงระหว่างสมองและลำไส้ ในภาษาอังกฤษ เราอาจเคยได้ยินคำว่า “Gut Feeling” ซึ่งหมายถึงความรู้สึกจากลำไส้ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นสมองตัวที่สองของเรา เนื่องจากมีผลอย่างมากต่อความรู้สึกและจิตใจของเรา นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่า ทั้งสมองและระบบทางเดินอาหารมีความเชื่อมโยงกันแน่นอน เพียงแต่ยังไม่รู้ลำไส้ทำให้อารมณ์ของเราปั่นป่วน หรือตรงกันข้ามกันแน่ และนักวิทยาศาสตร์ก็ยังพยายามที่จะเรียนรู้อยู่

แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือยาที่เราใช้ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) เป็นตัวปัญหาในการทำให้เกิดความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ แม้ยาปฏิชีวนะจะช่วยชีวิตคนจำนวนมาก แต่จากงานวิจัยพบว่าการจ่ายยาปฏิชีวนะไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 เป็นการจ่ายโดยไม่จำเป็น ซึ่งผลสุดท้ายอาจทำให้เกิดการดื้อยา

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มให้ความสนใจเช่นกันว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้แล้ว จะมีความเกี่ยวข้องกับโรคบางโรคอย่างไร เช่น โรคลำไส้อักเสบและโรคมะเร็งลำไส้หรือไม่ และจากงานวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคลำไส้อักเสบมักมีแบคทีเรียและราบางชนิดเพิ่มขึ้น ซึ่งโรคเหล่านี้ฆ่าชาวอเมริกันปีละประมาณ 50,000 คน


อาการ 7 อย่างที่ส่อว่าคุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับความไม่สมดุลของจุลินทรีย์

  1. ท้องอืด มีลม

  2. กรดไหลย้อน

  3. ท้องเสีย

  4. ไม่ค่อยถ่าย

  5. มีกลิ่นปาก

  6. เลือดออกตามไรฟัน

  7. ฟันผุ

นักวิทยาศาสตร์จาก California Institute of Technology ได้ศึกษาในหนูเมื่อเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2559 และพบว่า การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารอาจเชื่อมโยงกับโรค Parkinson ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทซึ่งมีผลต่อคนล้านคนในสหรัฐและถึง 10 ล้านคนทั่วโลก นักวิจัยอ้างหลักฐานว่า 75% ของผู้ป่วย Parkinson ประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและมักมีอาการท้องผูกก่อนเริ่มมีอาการการเคลื่อนไหวตัว เช่น ตัวสั่น เดินยากลำบาก และการอักเสบของสมอง


คุณจะทำให้จุลินทรีย์ในลำไส้มีสุขภาพที่ดีอย่างไร

  1. อาหาร บางทีปัจจัยที่สำคัญที่สุดและสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่ายคือสิ่งที่คุณกิน การศึกษาแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนจากอาหารแปรรูป น้ำตาล และแป้ง ให้เป็นอาหารที่เป็นผลไม้ ผัก โปรตีน (ไม่ติดมัน) และอาหารหมัก (เช่นผักดองและกะหล่ำปลีดอง) สามารถส่งเสริมแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ได้ "นี่เป็นเหตุผลที่ดีเพราะสารอาหารของแบคทีเรียก็เป็นสารอาหารของเรา" Quigley กล่าว นอกเหนือจากอาหารที่แนะนำโดยรวม ๆ แล้ว ในการรับประทานอาหาร หมอและนักโภชนาการจำนวนมากเริ่มกล่าวถึงการให้อาหารแก่จุลินทรีย์ ซึ่งเรียกว่า Prebiotics และการเติมเชื้อที่ดี เรียกว่า Probiotics เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะได้นำเสนอในหัวข้อนี้ต่อไปครับ

  2. หลีกเลี่ยงยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะเป็นสาเหตุหลักของความไม่สมดุลที่เป็นอันตรายและ Allison Aiello นักระบาดวิทยาของ the University of North Carolina Gillings School of Public Health ให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้ว่า พิจารณาให้รอบคอบว่าจำเป็นต้องใช้จริง "โดยไปพบแพทย์และตรวจสอบว่าติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียก่อนที่คุณใช้ยาปฏิชีวนะ" เธอกล่าว

  3. ทบทวนการทำความสะอาด ความหลงใหลในความสะอาดของเราเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจสร้างความหายนะให้กับจุลินทรีย์ แม้ว่าการทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อโรควางขายในตลาดก็เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย สารบางชนิดอาจเป็นต้นเหตุของการดื้อยาของเชื้อโรค สารบางชนิดมีส่วนประกอบที่เรียกว่า Triclosan ซึ่งมีเป้าหมายเฉพาะแบคทีเรียบางประเภทเท่านั้น Aiello แนะนำให้หลีกเลี่ยงและใช้สบู่ธรรมดาแทน ถ้าคุณไม่ได้อยู่ใกล้กับอ่างล้างมือให้ใช้เครื่องเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ

  4. ไปสัมผัสอากาศข้างนอก การสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่หลากหลายโดยเฉพาะกลางแจ้งสามารถปรับปรุงความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้ – และชาวอเมริกันใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 5% กลางแจ้ง (สถิติในไทยค้นหาไม่พบครับ) ซึ่งประเด็นนี้ผมได้นำเสนอในบทความเรื่องการดูแลสายตาและทางเลือกการรักษาโรคมะเร็งไปแล้ว ซึ่งน่าจะชี้นำให้ท่านเห็นได้ว่า มุมมองทางการแพทย์ในแผนปัจจุบันได้เริ่มให้ความสำคัญกับแสงแดดและสภาพแวดล้อมภายนอกมากยิ่งขึ้น

อ้างอิง

งานวิจัย Fecal Transplant ภาษาไทย https://www.tci-thaijo.org/index.php/jmhs/article/view/97383

แนวทางการรักษาโรค Clostridium Difficile ที่ยังแนะนำกันในประเทศไทย

44 views0 comments
bottom of page